วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก หากดวงอาทิตย์ดับ!




      ดวงอาทิตย์กำลังจะดับลง และหากเป็นเช่นนั้น มันก็จะทำให้โลกเราสลายตามไปด้วย ทว่าเราก็คงไม่ได้อยู่ดูช่วงเวลานั้น เพราะว่า เรายังมีเวลาอีกมาก ก่อนที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น
นักดาราศาสตร์ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า กว่าดวงอาทิตย์จะเผาไหม้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนหมดก็อีก 5-7 พันล้านปีเลยทีเดียว และเมื่อมันเผาไหม้เชื้อเพลิงหมดแล้ว แรงโน้มถ่วงก็จะทำให้ดวงอาทิตย์ยุบลงไปจนถึงแก่นกลางของมัน ซึ่งความร้อนจะค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆจากไฮโดรเจนที่เหลือ และทำให้ดวงอาทิตย์ขยายขนาดกลายเป็นดาวสีแดงดวงใหญ่  และในจุดนี้นี่เอง ที่ดวงอาทิตย์จะกลืนกินโลกของเรา!
ในตอนนั้น ดวงอาทิตย์จะมีความร้อนเพียงพอที่จะเผาไหม้ก๊าซฮีเลียมที่มันเก็บกักไว้ได้หมด และดวงอาทิตย์จะเพิ่มขนาดขึ้น ดวงอาทิตย์ไม่มีมวลเพียงพอที่จะระเบิดในขนาดซูเปอร์โนวาได้ ดังนั้น มันก็จะค่อยๆยุบสลายลงกลายเป็นขนาดเล็กสีขาวและมีอุณหภูมิเย็น
 
อ่านมาจากหลายๆเวปแล้วมาสรุปเอาเองตามความเข้าใจไม่วิชาการ เค้าบอกว่าถ้าดวงอาทิตย์ดับแสงจะยังเดินทางมาโลกอีก 8 นาทีแล้วก็จะมืดถ้าป็นอย่างนั้นจริงๆผลที่ตามมาก็คือ
1. ทั่วโลกจะถูกปกคลุมด้วยอากาศหนาวเย็นเป็นน้ำแข็งแบบขั้วโลกภายในไม่กี่วัน
2. พืชบนโลกไม่มีแสงแดดสังเคราะห์อาหารทำให้แห้งตายหมด
3. อากาศบนโลกจะเป็นพิษ เชื้อโรคต่างๆจะแพร่ระบาดมากมาย
4. น้ำจะเน่าเสีย เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ปลาก็จะตาย น้ำจะบริโภคไม่ได้
5. จะเกิดโรคประหลาดๆ อีกมากมาย มนุษย์และสัตว์จะตายเป็นเบือ
6. มนุษย์และสัตว์จะขาดแหล่งอาหารและน้ำทำให้อดตายในที่สุด (สิ้นมวลมนุษย์และสิ่งมีชีวิต)

อนาคตดวงอาทิตย์จะดับหรือระเบิด

แบบวิชาการ เสริมลงมาให้ลองอ่าน

 นักวิทยาศาสตร์ใคร่รู้ว่า ในขณะที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะ "ดับ" นั้นโลกของเราจะเปลี่ยนแปลงเช่นไร
        ปฏิกิริยานิวเคลียร์บนดวงอาทิตย์เกิด เมื่อไฮโดรเจนที่อยู่ในบริเวณแกนของดวงอาทิตย์ ถูกหลอมรวมเป็นฮีเลียม ดังนั้นที่บริเวณแกนของดวงอาทิตย์ จะมีธาตุฮีเลียมสะสมมากขึ้นๆ และบริเวณรอบแกนจะมีไฮโดรเจนน้อยลงๆ ในขณะที่เหตุการณ์เช่นนี้กำลังดำเนินการ ดวงอาทิตย์ของเราก็กำลังเปลี่ยนสภาพจากดาวเคราะห์เหลือง (yellow dwarf) ไปสู่ความเป็นดาวยักษ์แดง (red giant)
นักดาราศาสตร์ได้สังเกตเห็นว่า ดาวยักษ์แดงที่มีน้ำหนักพอๆ กับดวงอาทิตย์ ทุกดวงมีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มาก ดาวยักษ์แดงบางดวงมีรัศมียาวถึง 150 ล้านกิโลเมตร จึงเป็นที่คาดหวังว่าวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า เมื่อดวงอาทิตย์เป็นดาวยักษ์แดงที่สมบูรณ์ มันจะมีขนาดใหญ่จนโลกต้องถูกกลืนให้เข้าไปโคจรอยู่ภายในมันในที่สุดแต่เมื่อเร็วๆ นี้ I. J. Sackmann แห่ง California Institute of Technology และคณะได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสาร Astrophysics ระบุว่าเหตุการณ์ ที่ดวงอาทิตย์จะมีขนาดใหญ่จนกลืนโลกเข้าไปภายในนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้
         โดย Sackmann และคณะยอมรับว่า ดวงอาทิตย์จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมากในอนาคต จนสามารถกลืนดาวพุธ ที่โคจรอยู่ใกล้มันที่สุด ให้เข้าไปอยู่ในตัวมันได้ แต่ก่อนที่โลกจะถูกกลืนตามไปด้วยนั้น ตัวดวงอาทิตย์เองได้สูญเสียน้ำหนักไปมาก ดังนั้น แรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ จะลดลงมาก และเมื่อแรงดึงดูดลดลง โลกจะโคจรห่างจากดวงอาทิตย์ออกมา โดยรัศมีวงโคจรใหม่ ที่ยาวกว่ารัศมีวงโคจรปัจจุบันมาก
Sackmann ได้คำนวณพบว่า ในอีก 6,400 ล้านปี ดวงอาทิตย์จะใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ที่ ยังหลงเหลือบนตัวมันหมด และในอีก 3,000 ล้านปีข้างหน้านับจากปัจจุบัน ดวงอาทิตย์จะสว่างไสวกว่าปัจจุบัน 33 เปอร์เซ็นต์ แต่ถึงแม้อุณหภูมิของดวงอาทิตย์ในขณะนั้น จะสูงกว่าอุณหภูมิปัจจุบันไม่มากก็ตาม แต่รัศมีของมันขณะนั้น จะมากกว่ารัศมีปัจจุบันถึง 13 เปอร์เซ็นต์
คณะนักวิจัยทีมนี้ยังทำนายว่า ในอีก 4,000 ล้านปีข้างหน้าปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่ใช้ไฮโดรเจน เป็นเชื้อเพลิงจะหยุด และปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่มีการเผาผลาญฮีเลียมจะเกิด ในขณะนั้นดวงอาทิตย์จะมีขนาดใหญ่เป็น 10 เท่าของปัจจุบัน และมีสภาพเป็นดาวยักษ์แดงที่สมบูรณ์ โดยมีอุณหภูมิที่จุดศูนย์กลางสูงถึง 100 ล้านองศาเซลเซียส และเมื่อน้ำหนักของดวงอาทิตย์ลดลง ถึง 28 เปอร์เซ็นต์ รัศมีวงโคจรของโลก จะเพิ่มขึ้น 38 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นอันว่าโลกของเราปลอดภัย จากการถูกดวงอาทิตย์กลืน
แต่ดวงอาทิตย์จะยังคงสุกสว่างมากขึ้นๆ เมื่อดวงอาทิตย์สุกสว่างกว่าปัจจุบัน 2,349 เท่าและมีขนาดใหญ่ครึ่งฟ้าเมื่อมองบนโลก ความร้อนอันมหาศาลจากดวงอาทิตย์ จะทำลายชีวิตทุกรูปแบบ และมหาสมุทรจะแห้งขอด จากนั้นไปอีก 160 ล้านปี ดวงอาทิตย์จะเย็นลงๆ จนกลายสภาพเป็นดาวแคระขาว (white dwarf) ในที่สุด.......
Sackmann กับคณะได้หยุดการทำนายแล้ว เมื่อถึงขั้นนี้
ก็สมควร...เพราะถึงตอนนั้น การพูดอะไรๆไปก็ไม่มีมนุษย์ใดหลงเหลือ มาตรวจสอบความถูกต้องครับ

กำเนิดและวิวัฒนาการของดวงอาทิตย์

ดวงอาทิตย์ทรงกลมขนาดใหญ่นี้ เกิดขึ้นเมื่อราว 5 ล้านล้านปีที่ผ่านมา

เริ่มต้นก่อกำเนิดจากองค์ประกอบสำคัญ คือ ไฮโดรเจน 71% และฮีเลียม 27% ส่วนอีก 2% เป็นธาตุอื่นๆ

เช่น ออกซิเจน, คาร์บอน, ไนโตรเจน, ซิลิคอนและแมกนีเซียม เป็นต้น


ดวงอาทิตย์มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 1.392 x 106 กิโลเมตร

ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าโลกของเราถึง 109 เท่า และมีปริมาตรเป็น 1.41 x 1018 ลูกบาศก์กิโลเมตร

ใหญ่กว่าโลกของเรามากมายหลายเท่าทีเดียว (1.3 ล้านเท่า)




ดวงอาทิตย์อยู่ห่างไกลจากโลกมาก ประมาณ 1.496 x 108 กิโลเมตร

เราทบทวนถึงความรู้เกี่ยวกับดวงอาทิตย์กันพอสังเขปแล้ว เพื่อให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เราจะขออธิบายถึง "โครงสร้างของดวงอาทิตย์" ต่อไป




ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกของเรามากที่สุด มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นก๊าซไฮโดรเจน ที่ใจกลาง ของดวงอาทิตย์ มีอุณหภูมิและแรงดันสูงมาก จนทำให้ก๊าซไฮโดรเจนหลอมรวมกันเป็นก๊าซฮีเลียม และแผ่พลังงาน ออกมาอย่างมหาศาล เป็นความร้อนและแสงสว่าง เราเรียกปฏิกิริยานี้ว่า " ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน " พลังงานความร้อน และแสงสว่างจากดวงอาทิตย์นี้เอง ที่เอื้อให้เกิดสิ่งมีฃีวิตบนโลกของเรา

โครงสร้างภายในของดวงอาทิตย์ ประกอบไปด้วย

1. แกนกลาง มีอุณหภูมิสูงกว่า 15 ล้านองศาเซลเซียส
2. โชนการแผ่รังสี พลังงานความร้อนถ่ายทอดออกสู่ส่วนนอกในรูปแบบคลื่น
3. โซนการพารังสี อยู่เหนือโซนการแผ่รังสีพลังงานความร้อนในโซนนี้ถูกถ่ายทอด ออกสู่ ส่วนนอก โดยการเคลื่อนที่ของก๊าซ




4. โฟโตสเฟียร์ เป็นพื้นผิวของดวงอาทิตย์ อยู่เหนือโซนการพารังสี เราสังเกตพื้นผิวส่วนนี้ได้ในช่วงคลื่นแสง มีอุณหภูมิประมาณ 5,500 องศาเซลเซียส

5. โครโมสเฟียร์ เป็นบริเวณที่อยู่เหนือขึ้นมาจากชั้นโฟโตสเฟียร์ มีอุณหภูมิสูงประมาณ10,000 องศาเซลเซียส

6. คอโรนา เป็นบรรยากาศชั้นนอกสุดของดวงอาทิตย์แผ่ออกไปในอวกาศหลายล้านกิโลเมตร มีอุณหภูมิสูงมากกว่า 1 ล้านองศาเซลเซียส




หากลองเอาโลกของเราไปวางไว้ข้างๆ ดวงอาทิตย์ เพียงไม่กี่วินาที มันก็จะระเหยเป็นไอเปลวไฮโดรเจน







ภาพการปะทุของดวงอาทิตย์ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553

ภาพการปะทุของดวงอาทิตย์ เมื่อเดือนกันยายน

ดวงอาทิตย์เป็นส่วนสำคัญที่สุดของระบบสุริยะ เป็นผู้ดึงดูดให้ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอยู่และดวงอาทิตย์ยังให้แสงและความร้อนกับดาวเคราะห์นั้นด้วย




เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ยานสังเกตการณ์สุริยพลวัต (Solar Dynamics Observatory) ของนาซ่า ได้เปิดเผยภาพการปะทุของดวงอาทิตย์ภาพล่าสุด ที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย



โดยการปะทุของดวงอาทิตย์ในครั้งนี้ เกิดขึ้นบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของดวงอาทิตย์ แต่ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อระบบสนามแม่เหล็กของโลกแต่อย่างใด เพราะโลกไม่ได้อยู่ในแนวการปะทุของดวงอาทิตย์ และการปะทุดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นการปะทุครั้งใหญ่ เหมือนกับการปะทุที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งการปะทุในครั้งนั้นได้ถูกระบุว่าเป็นการปะทุครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 15 ปีเลยทีเดียว




ดวงอาทิตย์มีกลุ่มความร้อนพุ่งขึ้นและตกลงมา ซึ่งแต่ละลูกนั้นมีขนาดใหญ่เท่ากับรัฐเท็กซัส


และมีความยาวถึง 1,600 กิโลเมตร ที่ใจกลางของนิวเคลียร์ อุณหภูมิสูงเท่ากับ 30 ล้านองศาฟาเรนไฮท์
แต่โลกของเราอยู่ระยะห่างราว 150 ล้านกิโลเมตร ตั้งอยู่ในระยะพอเหมาะ
ขณะที่ดาวเคราะห์ดวงอื่นอาจจะเย็นจัดหรือร้อนจัดจนเกินไป หากว่าโลกของเรานั้นตั้งอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์กว่านี้
มีผลทำให้น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้งไป และหากไกลกว่านี้ โลกก็จะกลายเป็นเพียงดินแดนน้ำแข็งที่ไร้ร้างและไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ได้









ดวงอาทิตย์หล่อเลี้ยงทุกชีวิตบนโลกความอบอุ่นช่วยสร้างสภาพอากาศ ทำให้น้ำลอยขึ้นจากมหาสมุทร

แล้วเคลื่อนตัวไปเหนือทวีปต่างๆ



แดด ฝนและหิมะทำให้ผืนแผ่นดินเหมาะสมต่อการยังชีพ






แต่ดวงอาทิตย์ของเราไม่ได้มีแต่เพียงความอบอุ่น หากยังมีแสงสว่าง ปาฏิหาริย์ของพืชพรรณก็คือความสามารถในการใช้แสงอาทิตย์ช่วยในการเจริญเติบโต ด้วยวิธีสังเคราะห์แสง พืชจะเปลี่ยนน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ให้กลายเป็นคาร์โบไฮเดรต และปล่อยออกซิเจนออกมา ส่วนสัตว์นั้นจะเก็บเกี่ยวพลังงานจากแสงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน

ในด้านความอบอุ่น ถ้าปราศจากความอบอุ่น สัตว์เช่นจระเข้ ก็จะไม่มีพลังงานในการย่อยอาหาร หรือโหนกบนหลังของอัลลิเกเตอร์ มีวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อดูดซับแสงอาทิตย์ พวกมันดูดซับความร้อนผ่านผิวหนัง และส่งผ่านไปยังกระแสเลือด เพื่ออาหารที่มันกินจะเน่าเปื่อยภายในกระเพาะของอัลลิเกเตอร์ พวกมันจึงจำเป็นต้องนอนอาบแดด




บนดวงอาทิตย์นั้น มีจุดกลมขนาดเล็กซึ่งเป็นบริเวณที่เย็นและเรียกว่า "จุดดับบนดวงอาทิตย์" มันเกิดขึ้นบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ที่ลุกโชน จุดบนดวงอาทิตย์นั้น เป็นที่ๆ สนามแม่เหล็กจะรุนแรง ในแต่ละวันสนามแม่เหล็กที่ออกมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์นั้น เหมือนกับน้ำพุที่พุ่งขึ้นมาตรงกลาง แรงและกระจายไปทั่ว สนามแม่เหล็กจะออกมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์เพียงหนึ่งจุดอาจจะที่ขั้วเหนือเหมือนกับแม่เหล็ก แล้วพุ่งลงไปที่จุดดับอีกจุดหนึ่งที่อยู่ขั้วใต้ภายในแม่เหล็กดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ พลาสมาบนดวงอาทิตย์ช่วยบอกถึงเส้นสนามแม่เหล็กระหว่างขั้วเหนือกับขั้วใต้

เมื่อดวงอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลง สนามแม่เหล็กก็จะทวีความซับซ้อนขึ้น นั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์มากยิ่งขึ้น



ในระบบสุริยะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอทุก 11 ปีหรือประมาณนั้นเมื่อปี 1985 พื้นที่สนามแม่เหล็กส่วนใหญ่เป็นสีเทาและดูเงียบสงบ แต่ในปี 1991 กลับกลายเป็นความโกลาหลทางแม่เหล็กครั้งใหญ่ จากนั้นทุกอย่างก็เริ่มสงบลง และพายุครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงปี 2000 ก็กลับเริ่มขึ้นอีกครั้ง ช่วงเวลาที่กิจกรรมบนดวงอาทิตย์ทวีความรุนแรงถึงขีดสุด และทำให้เราเห็นถึงลักษณะของดวงอาทิตย์มากกว่าที่เคยเห็นในอดีต อีกทั้งมีแรงรบกวนส่งผ่านจากดวงอาทิตย์มาสู่โลกของเรา



จุดจบของดวงอาทิตย์นั้นเร็วมาก ภายในเวลา 3 พันล้านปี ทุกชีวิตบนโลกก็จะถูกแผดเผา ดวงอาทิตย์จะสูญเสียสมดุล และทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปมาระหว่างการหลอมละลายและแรงโน้มถ่วง ไฮโดรเจนที่เหลือจะเคลื่อนไปที่ริมขอบดวงอาทิตย์และระเบิดออกไป ขณะที่แกนในของฮีเลียมจะเผาผลาญ ดวงอาทิตย์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ดาวเคราะห์ชั้นในก็จะถูกดูดกลืน ขั้วน้ำแข็งบนดาวอังคารหลอมละลาย พายุลมร้อนจะโหมกระหน่ำใส่ดาวเคราะห์ชั้นนอก ดาวเสาร์จะถูกพัดจนเหลือแต่แกน วงแหวนน้ำแข็งละลายจนระเหยกลายเป็นไอ ดาวพฤหัสบดีที่เคยยิ่งใหญ่ จะต้องหมดความสำคัญลงไปเพราะว่าดวงจันทร์บริวารจะทำให้แผ่นน้ำแข็งละลายลงแล้วก่อให้เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง



ระบบสุริยะของเรานี้จะไม่เหมือนเดิม ถ้าตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังกินตัวเองและอีกไม่นาน ก็จะหดตัวเล็กลงจนเหลือเป็นเพียง "ดาวแคระขาว" (white dwarf) เท่านั้น และสิ้นสุดชีวิตดาวฤกษ์ กลายเป็นดาวที่ตายดับไปในที่สุด และในขั้นสุดท้ายมันก็จะเหลือเพียงผงธุลี และความตายก็จะมาเยือนดาวเคราะห์ทุกดวง

เวลาใกล้หมดลงแล้วสำหรับระบบสุริยะนี้ ดวงอาทิตย์ที่ครั้งหนึ่งเคยหล่อเลี้ยงให้ชีวิต กำลังจะกลืนกินเราเข้าไป

มันจะปล่อยเถ้าธุลี ออกมาตามกระแสลมสุริยะ และจับตัวกันเป็นก้อน

แต่อีกไม่นานก็จะรวมตัวกันจนกลายเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ ดาวเคราะห์ดวงใหม่และการถือกำเนิดชีวิตใหม่